Is it obligatory to follow the Sunnah?
Obeying Allaah is without doubt, obligetory. So when Allaah says: “Whosoever obeys the Messenger, has indeed obeyed Allaah” (Surah An-Nisa 4:80), it should be clear that one has obeyed Allaah by obeying the Messenger. Furthermore Muhammad said: “…whosoever disobeys me, disobeys Allaah”[3]. Following the Sunnah is clearly an obligation upon every Muslim.
The obligation is stressed even more when Allaah says: “But no, by your Lord, they can have no faith, until they make you (O’ Muhammad) judge in all disputes between them, and find in themselves no resistance against your decisions, and accept them with full submission” (Sura An-Nisa 4:65) and :
“It is not fitting for a believer, man or woman, when a matter has been decreed by Allaah and His Messenger to have any choice in the matter. If anyone disobeys Allaah and His Messenger he is clearly astray” (Surah Al-Ahzab 33:36). As Muslims we know that when Allaah or His Messenger decree something for us, it will always benefit us, even if we do not realize it. Thus, submitting to the Messenger is only there for our benefit and not to oppress us, as some mistakenly believe.
It must also be remembered that besides being the Messenger of Allaah, Muhammad was an Arab man living in seventh century Arabia. This meant that he had his own personal tastes and preferences just like any other mortal. These preferences are clearly distinguished from the Islamic law which is binding upon everyone. Thus, his personal Sunnah is clearly distinct from the legal Sunnah which he brought. An example of this distinction is when the Prophet came to Madeenah[4] and found the inhabitants artificially pollinating the date palm trees. When he asked them why they did so, they replied that it was their habit. He suggested to them that maybe if they did not do it; it may be better. So they gave it up and the following year their crop was greatly diminished. When they told him of this he replied: “I am only a human being. When I issue any command to you regarding your religion, then accept it, but when I issue any command to you based on my own opinion, I am merely a human being”[5].
Islaam is a religion which singles out Allaah alone for worship. It is for this reason that the possibility of Muhammad being anything more than a man, is totally absurd. As him being the Messenger of Allaah we believe that his Sunnah is infallible, but at the same time we maintain a perfect balance by remembering the words of Allaah: “Say (O’ Muhammad) : ‘I am only a man like you (except that) it has been revealed to me that your God is one God” (Surah Al-Kahf 18:110). True Muslims will follow Muhammad , not worship him. So
What are the benefits of the Sunnah?
One of the scholars of the past, Imam Malik[6], said: “The Sunnah is like the ark of Noah. Whoever embarks upon it achieves salvation and whoever rejects it, is drowned”[7].
This salvation is the admittance into Paradise and avoiding the fire of Hell. Regret is a terrible state. But regret on the Day of Judgment will be even worse for the one who did not follow the Sunnah: “And remember the day when the wrongdoer will bite at his hand and say: ‘Oh! Would that I had taken the path of the Messenger’” (Surah Al-Furqan 25:27). This regret will continue during the punishment: “On the day the faces will be tossed about in the fire, they will say: ‘Woe to us! Would that we had obeyed Allaah and his Messenger” (Surah Az-Zukhruf 43:67). On the other hand, the one who adhered to the Sunnah will attain the ultimate benefit: “Whoever obeys Allaah and his Messenger will be admitted to gardens beneath which rivers flow to live there (forever), and that will be the great achievement” (Surah An-Nisa 4:13). This is further confirmed by the Prophet himself when he said: “He who obeys me enters paradise, and he who disobeys me refuses to enter paradise”[8].
The sweetness of the Sunnah will also be tasted during this life. The vastness of the Prophet's way is such, that is produces a physical, spiritual and psychological benefit to its adherent. This fact is also recognized by non Muslim scientists who have discovered that the Sunnah is extremely accurate in its conformity with modern scientific data. Scientific and Medical facts which were recorded more then 1000 years ago, from the tongue of the Prophet , have only been recently discovered. Such findings prove that the Sunnah could only have been divinely revealed. Thus, the one who lives his life by this law will bring goodness upon himself and upon the rest of this decaying world. As for one who chooses to discard these divine rules, then that is a person who has lost a treasure which far outweighs any treasure that the earth can bring forward. A treasure which will bring eternal happiness. So…
We hope that what has been read, will encourage the reader to investigate into the way of this amazing man, and adhere to the law which he brought. Through investigation Insha'allaah (if God Wills) will come reform. And the one who reforms his life around the Sunnah of Muhammad , can be assured of a complete guidance:
“I have left two things among you, as long as you hold fast to them you will never go astray. They are the Book of Allaah and the Sunnah of His Messenger”[9]
จำเป็น (วาญิบ)ไหมต้องปฎิบัติตามซุนนะห์
การเชื่อฟังอัลลอฮโดยไม่มีข้อสงสัยนั้นเป็นสิ่งจำเป็น(วาญิบ) ดังนั้น เมื่ออัลลอฮกล่าวใน (ซุเราะฮ์ อัน-นิซาอ 4 : 80) ว่า “ ผู้ใดเชื่อฟังรอซูลแน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮแล้ว ” ก็คงจะเพียงพอที่จะบอกว่า ผู้ใดก็ตามได้เชื่อฟังอัลลอฮแล้วโดยการเชื่อฟังรอซูล (มูฮัมหมัด ซ.ล) นอกจากนี้มุฮัมมัดยังได้กล่าวว่า “ ผู้ใดก็ตามที่ไม่เชื่อฟังฉันเสมือนว่าเขาไม่เชื่อฟังอัลลอฮ “ ดังนั้นการปฏิบัติตามซุนนะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมุสลิมทุกคน
ความจำเป็น (วาญิบ) ถูกบังคับก็ต่อเมื่ออัลลอฮได้กล่าว “มิใช่เช่นนั้นดอก ข้าขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่า เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกัน ระหว่างพวกเขา แล้วพวกเขาไม่พบความคับใจใดๆ ในจิตใจของพวกเขา จากสิ่งร้ายเจ้าได้ตัดสินไป และพวกเขายอมจำนนด้วยดี” (ซุเราะฮ์อัน-นิซาอ4 :5) และอัลลอฮยังได้กล่าวอีกว่า “ ไม่บังควรแก่ผู้ศรัทธาชายและผู้ศรัทธาหญิงเมื่ออัลลอฮและรอซูลของพระองค์ ได้กำหนดกิจการใดแล้วสำหรับพวกเขาไม่มีทางเลือกในเรื่องของพวกเขา และผู้ใดไม่เชื่อฟังอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ แล้ว แน่นอนเขาได้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง ” (ซุเราะฮ์อัลอะหซาบ 33 : 36) คนมุสลิมย่อมรู้ว่าเมื่ออัลลอฮหรือรอซูลของพระองค์ได้บัญชาบางสิ่งกับเรา มันก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับเรา ถึงแม้ว่าบางครั้งเราอาจไม่เข้าใจ ดังนั้นการยอมจำนนต่อรอซูลของพระองค์ ล้วนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นการกดขี่อย่างบางคนที่เข้าใจผิด
และต้องจำเสมอว่า นอกจากการเป็นศาสนฑูตของพระองค์แล้ว มุฮัมมัดเป็นแค่คนอาหรับคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในช่วงของศัตวรรษที่ 17 อาหรับ ก็หมายถึงว่า เขาก็มีรสนิยมชอบไม่ชอบของเขาเองเหมือนกับคนอื่นทั่วไปมีกัน ความชอบไม่ชอบเหล่านี้ ตามกฎของอิสลามแล้ว แน่นอนทุกคนย่อมมี ดังนั้นซุนนะห์เฉพาะของเขาย่อมเป็นที่ชัดเจนมาจากซุนนะห์ที่ถูกต้องที่เขาได้นำมา อย่างเช่นตัวอย่าง ความกระจ่างชัดที่ว่า เมื่อท่านศาสดา มุฮัมมัด ซ.ล มายังเมืองมาดีนะ และได้เจอกับบรรดาชาวสวนที่กำลังนำเกสรตัวผู้ของต้นผลอินทผลัมมาผสมกับเกสรตัวเมีย เมื่อท่านศาสดาถามบรรดาชาวสวนว่า ทำไมจึงทำเช่นนั้น? พวกเขาตอบว่า พวกเราทำแบบนี้กันมาช้านานแล้ว ท่านศาสดาก็ได้แนะนำว่า ถ้าไม่ทำจะดีกว่า ชาวสวนเหล่านั้นก็ตามที่ท่านศาสดาได้แนะนำ แล้วปีถัดมา ปรากฏว่าผลอินทผลัมออกผลน้อยกว่าที่ปีผ่านๆมา เมื่อบรรดาชาวสวนได้บอกว่าเพราะพวกเราได้ตามท่านศาสดา จึงได้เป็นเช่นนั้น แล้วท่านศาสดา ก็บอกว่า “ ฉันเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น เมื่อฉันกล่าวคำแนะนำต่างๆ ออกมากับคุณที่เกี่ยวกับศาสนาจงรับไว้ แต่เมื่อฉันกล่าวคำแนะนำต่างๆที่เป็นความคิดส่วนตัวของฉัน ฉันก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น”
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่นับถือในพระองค์อัลลอฮองค์เดียว เพราะเหตุผลนี้ ที่จะทำให้ห่างไกลจากความคิดที่ไร้สาระ ที่ว่าท่านศาสตร์สดามุฮัมมัดเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเหนือกว่ามนุษย์ทั่วๆไป อย่างที่เขาเป็นศาสนทูตของพระองค์ พวกเราเชื่อว่า ซุนนะของท่านศาสดาเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด และในขณะเดียวกันพวกเรายึดมั่นในความสมดุลที่แท้จริง โดยการจำองค์การอัลกุร-อ่าน ของพระองค์ ”จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงฉันเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่งเยี่ยงพวกท่าน มีวะหฮียแก่ฉันว่า แท้จริงพระเจ้าของพวกท่าน คือพระเจ้าองค์เดียว” (ซูเราะฮอัลกะฮฟ 18 :110) มุสลิมที่เที่ยงแท้จะทำตามท่านศาสดามูฮัมมัดมิใช่บูชาท่าน
ประโยชน์ของซุนนะคืออะไร?
ท่าน อีมามมาลิก หนึ่งในบรรดานักวิชาการมุสลิมสมัยก่อนกล่าวว่า “ซุนนะเหมือนกับเรือลำใหญ่ของนาบีนุฮ สมัยก่อนใครก็ตามที่ขึ้นเรือลำนั้นจะได้รับการช่วยให้รอดปลอดภัยและใครที่ปฏิเสธ พวกเขาก็จะถูกน้ำท่วมตัวจนเสียชีวิต” ความช่วยเหลือให้รอดนี้ คือ การรับเข้าสู่สวนสวรรค์ และให้พ้นจากไฟนรก ความเสียใจนั้นเป็นสภาพที่น่ากลัว แต่ความเสียใจในวันปรโลกนั้นจะเป็นสิ่งที่สลดใจสุดๆ สำหรับคนที่ไม่ปฏิบัติตามซุนนะห์”และจำไว้ว่าวันนั้นเมื่อผู้กระทำผิดจะกัดมือของเขา แล้วกล่าวว่า โอ้..! ถ้าฉันได้ยึดแนวทางร่วมกับรอซูลก็จะเป็นการดี” (ซูเราะอัลฟุรกอน 25 :27) การเสียอกเสียใจนี้จะต่อเนื่องในระหว่างการทำการลงโทษ “ในวันนั้นบรรดามิตรสหายจะเป็นศัตรูต่อกัน เนื่องจากบรรดาผู้ที่ย้ำเกรง” (อัลลอฮ) (อัซซุครุฟ43.67)ในทางกลับกันผู้ที่ปฏิบัติตามซุนนะจะประสบความสำเร็จที่เป็นประโยชน์ที่สุด “ผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮและพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะส่งให้เขา เข้าในบรรดาสวนสวรรค์ ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาล และนั้นคือ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่” (ซุเราะอันนิ-ซาอ 4 :13) นอกจากนี้บรรดาผู้ศรัทธาจะได้รับการยอมรับจากท่านศาสดาเอง ว่า ”ใครก็ตามที่เชื่อฟังฉันเขาจะได้เข้าสวรรค์และใครที่ไม่เชื่อฟังฉันเขาได้ถูกปฏิเสธเข้าสู่สวนสวรรค์ของพระองค์”
ความงดงามของซุนนะห์ นั้นเราจะได้ลิ้มรสเช่นเดียวกันในชีวิตนี้ ความสำคัญของซุนนะคือ มันได้ทำให้เกิดประโยชน์กับร่างกายจิตวิญญาณและในด้านจิตวิทยา สำหรับผู้ที่ปฏัติบัตาม ความจริงที่ปรากฏนี้ได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ใช่มุสลิมเช่นกัน ซึ่งพวกเขาได้ค้นพบว่าซุนนะนั้นได้สอดคล้องถูกต้องตามข้อมูล ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ความจริงทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์ซึ่งได้ถูกบันทึกไว้ จากลิ้นของท่านศาสดามุฮัมมัดมากกว่า 1000 ปีที่แล้ว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริง เมื่อไม่นานมานี้เอง อย่างพิศูจน์การค้นพบว่าซุนนะนั้นสามารถเป็นได้แค่เปิดเผยอย่างขาดการณ์ ดังนั้น ผู้ที่ใช้ชีวิตตามแบบอย่างนั้น นั้นจะนำพาสู่ความดีไปสู่เขา และชีวิตที่เหลือของโลกนี้ ที่กำลังเสื่อมเสียลง และสำหรับผู้ที่ปฏิเสธแบบอย่างของท่านศาสดานั้น เขาจะสูญเสียสิ่งที่มีค่ายิ่ง ซึ่งมีค่าเกินกว่าโลกใบนี้จะรับได้ ซึ่งสิ่งมีค่านั้น จะนำพาสู่ความสุขอันนิทนีรันด์
เราหวังว่าข้อมูลที่เราได้อ่านนั้น จะเป็นกำลังใจกับผู้อ่าน เพื่อพิจารณาหนทางของท่านศาสดา ซ.ล และยึดมั่นแบบอย่างที่ท่านได้นำมา โดยการพิจารณาของเรานั้น หากพระองค์จงประสงค์ เราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงตัวเองตามแบบอย่างของท่านศาสตร์ดามุฮัมมัด ซ.ล และผู้ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาตามแบบอย่างหรือซุนนะนั้น เขาจะได้รับการประกันว่าเป็นผู้ที่อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง “ฉันได้ทิ้งไว้สองอย่างกับสู่เจ้าตราบนานเท่านานที่คุณยึดมั่นกับมัน คุณจะไม่มีวันหลงทางนั้นก็คือ อัลกุร-อ่านและซุนนะห์ของท่านศสดามุฮัมมัด ซ.ล”